เรื่องเล่าสุขภาพ

มะเร็ง " มุมมองมะเร็ง"
มะเร็ง "มุมมองมะเร็ง"
            ปัจจุบันมะเร็งรุกลามคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก ผมพยายามเสาะแสวงหามุมมองการรักษาแนวทางต่างๆมานำเสนอให้มากที่สุดไว้เป็นทางเลือกสำหรับทุกท่าน"ลางเนื้อชอบลางยา ลางไหนๆก็แพ้ ลางมีโอกาส"


ในสภาวะของด่างอ่อน   เซลล์มะเร็งหยุดเติบโต
หรือกระทั่งฝ่อตายไป
เป็นกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ฟังเขาเล่าเรื่อง สำคัญยิ่งยวด โปรดใส่ใจอ่านอย่าง  พินิจพิเคราะห์ และถึงจะเคยผ่านตามาก่อน ก็สมควรอ่านทวนให้ขึ้นใจอีกสักหลายๆ   หน โดยเฉพาะรายชื่ออาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือด่าง มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณอย่างเอกอุ   และโปรดอย่าลืม   กระจายสาระเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง 

ล่วงเลยมา ๓๐ กว่าปีเข้านี่แล้ว ที่มิสเตอร์จาง พนักงานฝ่ายขาย‘การจัดกิจกรรมประชาสาธารณะ’ ของเบียร์ไทเป(Taipei Brewery) เข้าร่วมสอบคัดเลือกชิงทุนการศึกษาธุรกิจเบียร์ในต่างประเทศ  และสอบผ่านด้วยคะแนนยอดเยี่ยม

ในระหว่างการตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ก่อนไปนอก มีการตรวจพบ
ว่าเขามีก้อนเนื้อร้ายขนาดกำปั้นทารกงอกอยู่ในปอด จึงหมดสิทธิ์ในทุนการศึกษานั้นโดยปริยาย

ในความผิดหวังแสนสาหัส มิสเตอร์จางระแวงว่าการตรวจเช็คร่างกายคราวนั้น อาจผิดพลาดหรือสัพเพร่าได้ จึงไปทำการตรวจเช็คซ้ำที่โรงพยาบาลแห่งอื่น แต่ผลที่ได้ยืนยันว่าการตรวจเช็คครั้งที่แล้วไม่มีอะไรบกพร่อง

ท่ามกลางความท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก หนุ่มจางที่มีร่างกายแข็งแรงมาแต่อ้อนแต่ออก รู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจอย่างยิ่งกับชะตาชีวิตที่เล่นพิเรนทร์ เขาโทรศัพท์ไป   ระบายความเจ็บปวดใจให้แก่เพื่อนนักเรียนเก่า มิสเตอร์เหว่ย ซึ่งขณะนั้น ดำรงตำ    แหน่งเป็นเลขานุการนายอำเภอหวงซุ นายอำเภอแห่งเมืองไถตง มิสเตอร์เหว่ยอาศัยวันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุด    เดินทางมาเยี่ยมหาหนุ่มจางทันที

หนุ่มจางระบายความอัดอั้นตันใจ      พลางสั่งเสียให้เพื่อนรักจัดการธุระเรื่องจิปาถะหลังการตายของตน ประจวบเหมาะเหลือเกินที่มิสเตอร์เหว่ยมีเพื่อนรักอีกคนหนึ่ง ชื่อนพ.ลวี่เกอลิ่ง    ซึ่งเป็นอดีตผอ.โรงพยาบาลมั่ยเจ(ค.ศ.๑๙๔๕-๕๕)   และหมอมือดีผู้เชี่ยวชาญงานวิจัยภาคสนามในโรคมะเร็งโดยเฉพาะ

เกลอเหว่ยคะยั้นคะยอหนุ่มจางให้ไปหานพ.ลวี่เกอลิ่งด้วยกันในทันที หนุ่มจางอิด  ออด    ด้วยเกรงว่าจะพบกับความผิดหวังซ้ำๆ    พาลให้เจ็บปวดใจซ้ำซาก

แต่มิสเตอร์เหว่ยบอกกล่าวเพื่อนรักว่า  เขาเองได้โทรศัพท์ไปปรึกษาหมอลวี่ก่อนหน้านี้ และนัดหมายไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าจะพาหนุ่มจางไปหา เห็นความมีน้ำใจของสหาย เยี่ยงนี้   จางพูดอันใดไม่ออก   ได้แต่ทำตามโดยดุษฎี

เมื่อพบกัน หมอลวี่เอ่ยปากแก่หนุ่มจางทันที เหว่ยเป็นเพื่อนรักผม เขาแนะนำให้ เราสองมารู้จักกัน นับว่าเป็นบุญวาสนาที่ผมต้องขอขอบคุณ คราวนี้ผมขอถามความรู้รอบตัวของคุณสักหนึ่งคำถาม ‘เหตุใดมะเร็งจึงได้ชื่อว่าเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หาย?’”

สองเกลอจางและเหว่ยได้แต่มองตากันปริบๆ

หมอลวี่ให้คำตอบทางอ้อม โดยสาธยายว่า “ตราบถึงทุกวันนี้ มนุษย์เราก็ได้แต่พะบู๊ กับมะเร็งด้วยวิธีเปิ่นๆอยู่แค่สองวิธี วิธีแรกคือกำจัดต้นตอเชื้อโรคร้ายให้สิ้นซาก วิธีถัดมาคือการเพิ่มสมรรถภาพการสู้รบตบมือกับมัน....................

แต่ปรากฏการณ์ที่น่าฉงนก็คือ ไม่ว่าเราจะใช้โคบอล์ท ๖๐ (Cobalt 60) หรือสิ่งอื่นใด        ในการกำจัดมัน ก่อนที่เจ้าตัวร้ายจะศิโรราบ เซลล์ดีที่อยู่รายรอบกลับมอดม้วยมรณาไปเสียก่อน

ส่วนวิธีถัดมา ไม่ว่าเราจะป้อนอาหารหรือยาโป๊ขนานใดๆเข้าไปเสริม ก่อนเซลล์ดีและเซลล์ทหารในร่างกายจะทันได้รับอานิสงส์  เจ้าตัวร้ายเป็นต้องชิงตัดหน้าปล้นสะดมเอาไปบำรุงบำเรอพวกของมัน ให้ยิ่งแข็งแกร่งร้ายบริสุทธิ์ขึ้นเป็นทวีคูณ

ทั้งสองวิธีจึงไม่สัมฤทธิ์ผลทั้งคู่ มะเร็งร้ายจึงยังคงอหังการ์ ประกาศศักดาความเป็น   โรคร้ายที่รักษาไม่หายสืบมาจนทุกวันนี้

หมอลวี่กล่าวต่อ “มนุษย์เราเก่งเรื่องนอกตัว กระทั่งพระจันทร์ก็ไปฝากรอยเท้ามาแล้ว แต่พอเป็นเรื่องหญ้าปากคอก ปัญหาเกี่ยวกับร่างกายและจิตวิญญาณของตัวเราเอง เป็นต้องดันทุรัง งมงายหมกมุ่นอยู่แต่เจ้าสองวิธีเดิมๆ ไม่คิดขวนขวายหาหนทางสายอื่น ลองมรรควิถีที่ ๓ ดูบ้าง?

ตอนที่ผมทำงานวิจัยภาคสนามในโรคมะเร็งโดยเฉพาะ ด้วยความอนุเคราะห์ของเหล่าเพื่อนร่วมงานมือฉมังทั้งหลาย ผมตรวจพบว่าผลวิเคราะห์เลือดของค้นไข้โรคมะเร็ง ร้อยทั้งร้อยแสดงค่าความเป็นกรดหมดทุกตัวคน[ค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ต่ำกว่า ๗]

แต่เหล่าภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย ที่ทานมังสวิรัติชั่วนาตาปี และใช้ชีวิตอยู่ในแวดล้อม  ของธรรมชาติเป็นนิจศีล   ยังไม่มีสถิติป่วยเป็นมะเร็ง   แม้แต่รายเดียว

ดังนั้นผมจึงหาญกล้าพอที่จะสรุปว่า   ในสภาวะของด่างอ่อน   เซลล์มะเร็งจะหยุดเติบโตหรือกระทั่งฝ่อตายไปเอง!

คุณจาง ผมขอเสนอให้คุณลดอาหารคาว ที่มีฤทธิ์เป็นกรดทั้งหลายลงให้มากเข้าไว้

แล้วหันมาทานอาหารทธิ์ด่างแทน ในเชิงประยุกต์คุณลองทานสาหร่ายเขียวและแกงเลียงกระจับไม่กะเทาะเปลือก ออกกำลังฟิตร่างกาย และพยายามใช้ชีวิตเรียบง่าย   คืนสู่วิถีธรรมชาติ

หากต่อกรกับมันได้จนพ้น ๕ ปี   คุณรอดตายแน่    ขอพระคุ้มครอง

หนุ่มจางทำตามคำแนะนำของหมอลวี่ ทั้งปรับเปลี่ยนนิสัยการกินเดิมๆจนหมดสิ้น

ทุกเช้าทานทั้งสาหร่ายเขียวและแกงเลียงกระจับไม่กะเทาะเปลือก ใช้ชีวิตปล่อยวาง   ออกกำลังกายในปริมาณที่เหมาะสม หนึ่งปีให้หลัง เมื่อกลับไปตรวจเช็คร่างกายใหม่ที่โรงพยาบาลแห่งเดิม พบว่าก้อนเนื้อร้ายขนาดกำปั้นทารกก้อนนั้นไม่เพียงไม่โตขึ้น     ยังมีอาการฝ่อตัวลงเสียด้วยซ้ำ ทำความประหลาดใจแก่พนักงานตรวจเช็คร่างกาย ว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์เหลือเชื่อ   หลังปีที่ ๕ ยิ่งฝ่อลีบจนอยู่ในสภาพหาไม่เจอไปเลย

มาบัดนี้ ๓๐ กว่าเกือบ ๔๐ ปีผันผ่าน คุณจางพลานามัยแข็งแรงกระฉับกระเฉง ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขยิ่งนัก
     (ไดแอ๊กโน้ส-วินิจฉัย) 

ภายหลังคุณจาง ก็ยังมีรายคุณเฉินเทียนโซ่ว ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารทั่วไปฝ่ายธุรการ(Head of the General Administration) โรงพยาบาลแห่งรัฐไถตง ที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดเช่นเดียวกัน

เมื่อมิสเตอร์เหว่ยทราบเรื่องเข้า เขาก็ได้เล่าประสบการณ์คุณจางให้ผบ.เฉินฟัง        ผบ.เฉินปฏิบัติตัวในเชิงกายภาพนวัตกรรม      ตามแบบการชี้แนะของหมอลวี่ทุกประการ   สุดท้ายก็ขจัดมะเร็งได้ราบคาบ   แบบเดียวกับที่คุณจางพิชิตมา

ช่วงเวลานั้น ครอบครัวหมอลวี่อพยพไปอยู่อเมริกา เหตุการณ์เหล่านี้ผ่านไปแล้วนั่นแหละ   เขาถึงได้กลับมาไต้หวันและปะเหมาะเจอะเจอมิสเตอร์เหว่ย

มิสเตอร์เหว่ยรีบรายงานให้หมอลวี่ทราบถึงเหตุการณ์ ทั้งของรายคุณจางและรายผบ.เฉิน ทั้งขยั้นขยอให้หมอลวี่เรียกสัมภาษณ์เขาทั้งสอง เพื่อตีพิมพ์ผลงานวิจัย ว่าด้วยการพิชิตมะเร็ง โดยผู้ป่วยเองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตใหม่หมด ในแนวกายภาพนวัตกรรม

หมอลวี่กล่าวตอบถ่อมตน “ผมอายุมากแล้ว และงานวิจัยชุดนี้ขาดความสมบูรณ์ในตัวเลขบันทึกสดภาคสนาม ขอคุณเหว่ยช่วยแจ้งพวกเพื่อนๆและเหล่าญาติมิตรว่า หากเห็นด้วยกับแนวการสู้รบตบมือกับมะเร็งแนวใหม่นี้ ขอให้ถือปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย และเผยแพร่ประสบการณ์ตรงแก่ชาวโลก..............กายภาพนวัตกรรม และดำรงวิถีชีวิต ที่สอดคล้องกับธรรมชาติรอบตัว   อย่างกลมกลืนแนบแน่นตลอดไป”

คนทุกคนพึงเอาใจใส่ดูแลตัวเอง   จากนั้นก็เผื่อแผ่อาทรเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆด้วย  พึงตระหนักว่า   ๘๕%ของคนไข้โรคมะเร็งมีกายภาพองค์รวมเป็นกรด

ค่าpHของความเป็นกรดด่างในเลือดของคนแข็งแรง จะมีค่าระหว่าง ๗.๓๕-๗.๔๕ ของความเป็นด่างอ่อนเสมอ

เลือดของทารก ก็มีค่าความเป็นด่างอ่อนเช่นกัน

เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เลือดในกายก็จะเริ่มปรับเปลี่ยนไปเป็นกรด

ผลการวิจัยของเหลวในร่างกาย (Bodily fluid) ของคนไข้โรคมะเร็ง ๖๐๐คน     ๘๕%ล้วนมีสภาพเป็นกรด

ดังนั้น ทำยังไงให้สภาพร่างกายคงค่าความเป็นด่างอ่อนได้ คือก้าวแรกในการเดินหนีมะเร็ง

เอกลักษณ์ของสภาพร่างกาย   ที่แจงค่าความเป็นกรด   มีดังนี้

๑.ผิวพรรณหยาบกร้าน ไม่มีน้ำมีนวล

๒.ง่ามนิ้วเท้าเปื่อยแบบ‘ฮ่องกงฟุต’

๓.ออกกำลังกายเล็กน้อยก็หมดแรง   ขึ้นรถเป็นอยากหลับลูกเดียว

๔.ขึ้นลงบันไดไม่กี่ขั้น  หอบหายใจไม่เป็นส่ำ

๕.อ้วน  ลงพุง

.ฝีเท้างุ่มง่าม ท่วงท่าเงอะงะ

เหตุใดสภาพร่างกายจึงปรับตัวเป็นกรด?

๑.กินอาหารผลิตภัณฑ์นม   ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด   ล้นเกิน

 - เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม ไข่ เนื้อวัว เนื้อหมู(แฮม) ล้วนเป็นอาหารฤทธิ์กรด

แปะข้อความเตือนใจเหล่านี้ไว้บนผนังที่เห็นเด่นชัด

 - กินอาหารฤทธิ์กรดมากเกิน เลือดจะข้น ไหลเวียนสู่ปลายหลอดเลือดฝอยลำบาก เป็นเหตุให้เกิดเหน็บชาตามแขนขาและหัวเข่า  ไหล่ยึด  และโรคนอนไม่หลับ  เป็นอาทิ

 - เมื่อคราหนุ่มแน่นอายุน้อย โปรตีนจากเนื้อสัตว์มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ใช่อยู่ แต่เมื่อแก่ตัวลง อาหารหลักสมควรเปลี่ยนมาเป็นผัก และปลาตัวเล็ก

๒. ดำเนินชีวิตผิดปรกติ สภาพร่างกายปรับตัวเป็นกรด

 - จังหวะชีวิตผิดแบบ ก่อเกิดแรงเครียดทั้งต่อจิตใจและร่างกาย

 - คนนอนดึก ตามสถิติ มีแนวโน้มในการเป็นมะเร็งมากกว่าคนนอนปรกติถึง ๕ เท่า

 - มนุษย์ ดำรงชีวิตอยู่ในโลกที่มีจังหวะจะโคนของมันเป็นปรกติวิสัย จะสะสมการนอนหลับพักผ่อน หรือกินอาหารมากๆตุนไว้ก่อน หรือเปลี่ยนใช้ชีวิตแบบกลับตาลปัตร กลางวันเป็นกลางคืน   กลางคืนเป็นกลางวัน   ไม่ได้

 - อวัยวะภายในของคน ถูกควบคุมด้วยระบบประสาทอัตโนมัติ กลางวัน ระบบประสาทกลุ่มทำนองคลองธรรม (ซิมพาเทติก) กระฉับกระเฉง    กลางคืน  ถึงคราวระบบประสาทกลุ่มสวนกระแส (พาราซิมพาเทติก) ทะมัดทะแมงแข็งขันบ้าง      หากเราใช้ชีวิตฝืนธรรมชาติ   โรคภัยไข้เจ็บย่อมถามหาเป็นธรรมดา

๓.อารมณ์แปรปรวนเกินเลย  

ความเครียดเกิดง่าย ในสังคมศิวิไลซ์

แรงเค้นแรงเครียดอันเนื่องจากงาน หรือแรงเครียดทางจิตใจ

 - หลังมนุษย์ได้รับแรงเครียดทางจิตใจ พอผ่อนคลายลง มักจะผล็อยหลับถึงตายเอาง่ายๆ อาการเช่นนี้มีศัพท์แพทย์บัญญัติว่า พยาธิสภาพของเยื่อหุ้มหมวกไตทำงานผิดปรกติ(syndrome of imperfect adrenal cortex function)

๔.ความเครียดทางกายภาพ

 - ก่อนทำการผ่าตัด ต้องตรวจเช็คให้แน่ใจว่า เยื่อหุ้มหมวกไตทำงานเป็นปรกติดีหรือเปล่า หากมีปัญหา หรือไม่แน่ใจว่าจะทนรับแรงเครียดของการผ่าตัดได้ ก็ให้งดปฏิบัติการไว้ก่อน เพราะอาจนำพาให้คนไข้เสียชีวิต หรือมีผลข้างเคียงเลวร้ายอื่นๆตามมาได้

 - หากตรวจพบอาการบวมเห่อที่ใบหน้า ต้องเร่งตรวจสอบประวัติคนไข้และอาการแพ้ยาต่างๆ สำหรับผู้ที่กินยาโฮโมนซึ่งสกัดจากเยื่อหุ้มหมวกไต การฝังเข็มตามแบบแผน  จีน   ต้องพิถีพิถัน   คอยสังเกตปฏิกิริยาให้ถ้วนถี่

 - หลีกเลี่ยงงานหรือการออกกำลังกาย ที่ใช้กำลังวังชาหักโหม เล่นไพ่หรือขับรถโต้รุ่ง

ปกิณกะอาหารดาษดื่นทั่วไป แยกประเภทที่เป็นกรด/ด่าง

๑.อาหารกรดแรง: ไข่แดง เนยแข็ง เค้กทำจากน้ำตาลทรายขาว มะพลับ
ไข่ปลามัลเล็ท  ปลาค้อด  เป็นต้น

๒. อาหารกรดกลางๆ: แฮม เบค่อน เนื้อไก่ ปลาหมึก เนื้อหมู ปลาไหล เนื้อวัว  ขนมปัง  แป้งสาลี  เนยสด  เนื้อม้า  เป็นต้น

๓.อาหารกรดอ่อน: ข้าวขาว ถั่วลิสง เบียร์ เหล้า เต้าหู้ทอด สาหร่ายทะเล
หอยแครง ปลาหมึกอ๊อกโตปุส และปลาดุก

๔.อาหารด่างอ่อน: ถั่วแดง หัวผักกาด แอปเปิล ผักกาดเขียวปลี หอมหัวใหญ่   เต้าหู้   เป็นต้น

 ๕.อาหารด่างกลางๆ: หัวผักกาดตากแห้ง ถั่วเหลือง แครอต มะเขือเทศ กล้วย ส้ม ฟักทอง สตรอเบอรี่ ไข่ขาว บ้วยตากแห้ง มะนาว ผักโขม   เป็นต้น

๖.อาหารด่างแรง: องุ่น ใบชา ไวน์ (เหล้าองุ่น) สาหร่ายทะเลทั้งงอกและไม่งอก (kelp sprout, kelp) เป็นต้น ที่พิเศษสุดคือสาหร่ายเขียว ธรรมชาติ ที่อุดมด้วยธาตุเขียว (chlorophyl)  ถือเป็นอาหารด่างชั้นสูง สำหรับชานั้นอย่าดื่มมากเกิน   และดื่มในช่วงเช้าจะดีที่สุด
                                     ด้วยความขอบคุณ..... sajja bunphasom 
sajja_bu@hotmail.com
                                                                  จากใจ..จำรัส  เซ็นนิล
                                                             Ch.Chennil@Gmail.Com

blog comments powered by Disqus