9 มิ.ย. 2554 เวลา 9:00 น., โดย จำรัส เซ็นนิล
แม่เล่าให้ฟัง
แม่เล่าให้ฟัง
หนังสือเล่มเดียวคุ้มโรคภัย เล่ม ๑ ผมเขียนเรื่องพ่อเล่าให้ฟังไปแล้ว ครั้นเล่ม ๒ จะไม่เขียนถึงแม่ที่เคยเล่าให้ฟัง ก็ดูกระไรอยู่ เดี๋ยวจะหาว่ารักพ่อแม่ไม่เท่ากัน ต้องขอบคุณคุณแม่ที่สมัยตั้งท้องผม ท่านไปดูหนังกลางแปลง(หนังขายยาหรือหนังเร่) หลังกลับจากดูหนังคืนนั้น ท่านคลอดผม ตรงกับวันอังคารที่ ๑๔ กุมภาพันธ์วันวาเลนไทน์ แม่ผมนี่สุดยอดจริงๆ
ด้วยเหตุที่แม่ผมไปดูหนังนี่เอง ทำให้เสี้ยวหนึ่งในชีวิตของผม สมัยรับราชการที่สถานีโทรทัศน์ช่อง ๑๑ กรมประชาสัมพันธ์ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้พากษ์หนังเรื่อง เปาปุ้นจิ้น พิน็อคคิโอ ฉลามบก ขุนช้างขุนแผน การ์ตูน มวยปล้ำและอีกหลายเรื่อง จากทีมพากษ์มาจนเป็นหัวหน้าทีมพากษ์ แบ่งบทพากษ์เอง ระยะหลังเขาผลิตเป็นเสียงพากษ์ในฟิล์ม ผมเลยตกงาน
หลายคนสงสัยเวลาผมอ่านข่าวและจัดรายการทำไมเสียงผมถึงใหญ่และมีพลัง จะเล่าให้ฟัง คือผมสังเกตตอนที่แม่เลี้ยงน้อง แม่จะนั่งเหยียดขาสองข้าง พันผ้าถุงไว้เหนือเข่า ข้างๆขาแม่ จะมีถ้วยข้าวบดผสมกล้วยบด และแก้วน้ำ แล้วแม่ก็จับน้องผมนอนหงาย หันหัวไปทางปลายเท้า แม่เอามือซ้ายจับขาน้องผมไว้ เวลาที่น้องผมแหกปากร้อง แม่ก็จะตักข้าวบดผสมกล้วยบดกรอกปาก ๑ ช้อน ตามด้วยน้ำ ๑ ช้อน จังหวะนั้นเสียงก็จะดัง คร๊อกๆๆๆๆ แทนเสียงร้องไห้ แล้วน้องผมก็กลืนข้าวลงไป นึกเห็นภาพไหมครับ
แม่ทำอย่างนี้ทุกวัน จนน้องผมโต ผมมานั่งคิดสมัยผม คงเป็นเช่นนี้เหมือนกัน ทำให้หลอดเสียงผมใหญ่ แสดงว่าแม่ผมเตรียมความพร้อมด้านการใช้เสียงฝึกพลังให้ผมมานาน คือแหกปากร้องขยายกล่องเสียง กรอกข้าวขยายหลอดคอ ฝึกปอดไปในตัว เฮ้อ..วิธีนี้ใครจะเลียนแบบ ก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ถ้าลูกคุณไม่ตายเสียก่อน
ที่บ้านผม พ่อแม่ส่งเสียลูกเรียนครูทุกคนและส่วนใหญ่ก็มักเป็นโฆษกและพิธีกรช่วยเหลือชาวบ้านไปทั่ว จนชาวบ้านเวลามีงานต่างๆ ไม่ว่าด้านพิธีการ พิธีกรก็จะเชิญครอบครัวผม ไม่คนใดก็คนหนึ่ง บางงานใช้พิธีกรถึง ๓ คน เขาบอกมันส์ดี ล่าสุดรวมพ่อผมด้วย ๔ คนครับ แถมให้พ่อร้องเพลงอีกต่างหาก (ใช้พ่อผมคุ้ม) ฮ่าๆๆ ( ฟรี )
คุยเรื่องแม่ ทำไมวกมาที่พ่อก็ไม่รู้ (บทบาทพ่อเยอะกว่า) พูดแล้วจะหาว่าคุย แถวบ้านถ้าใครถูกสุนัขกัด เนื้อหลุด พ่อผมจะเอาเนื้อที่หลุดแปะไว้ตำแหน่งเดิม แล้วเอาปูนที่กินกับหมากผสมน้ำยางสบู่บ้านสมานแผล หลังจากนั้นเอาธูปดอกเดียว ตวัดเลขยันต์ พร้อมเสกคาถากำกับ ไม่ถึงสองวันแผลหายสนิท ผิดกับคนที่ส่งโรงพยาบาลรักษาเดือนหนึ่งยังไม่หาย ตำรานี้พ่อไม่ให้ใคร นอกจากพี่ชายคนเดียว พูดถึงเรื่องแม่ต่อครับ ความรู้เรื่องสมุนไพรท่านก็ไม่เบาเหมือนกัน ท่านจดจำมาจากคุณยาย แล้วก็นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ผมนำมาฝากท่านผู้อ่านเท่าที่จำได้นะครับ
โคนลิ้นขาว
แม่บอกว่าช่วงที่ผมเล็กๆประมาณ ๕-๖ ขวบ ลิ้นจะขาว ตอนเช้าๆตะวันยังไม่ขึ้น แม่จะเอาผ้าอ้อมที่ซักสะอาดหนึ่งผืน แล้วรีบไปตัดก้านกล้วยประมาณครึ่งก้าน เอาผ้าอ้อมคลุมนิ้วชี้และนิ้วกลาง ไปรองใต้ยางกล้วยจนเกือบหยุดหยด แล้วเอาผ้าอ้อมที่เปื้อนยางกล้วยไปเช็ดลิ้นของผม ทำประมาณ ๒-๓ วันลิ้นจะหายขาว แม่บอกเด็กส่วนใหญ่ ถ้าลิ้นขาวก็จะเจ็บลิ้นแล้วก็เบื่อนมและเบื่ออาหาร
ปากเปื่อยในเด็ก
ให้เอาผลมะกอกเผาไฟหนึ่งส่วน และผลมะขามป้อมเผาไฟส่วนหนึ่งแล้วบดเป็นผง แล้วละลายกับน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาวแทรกเกลือเป็นกระสาย กวาดหรือชุบสำลีอมเป็นยาสมานรักษาอาการปากเปื่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
ปากนกกระจอก
เขียนเรื่องแม่ก็อดที่จะคิดถึงแม่ น่าเสียดายท่านจากผมไปแล้ว ช่วงที่ท่านนอนป่วยที่ โรงพยาบาลศิริราชด้วยโรคหัวใจตีบ หมอลงความเห็นให้ผ่าตัด ลูกๆแบ่งเป็น ๒ คณะ คณะแรกให้ผ่า อีกคณะไม่ให้ผ่า ก็เยื้อชีวิตท่านมาถึง ๔ ปี โดยไม่ผ่าตัดรักษา ๒ ทาง คือกินยาแพทย์แผนปัจจุบันยาโรงพยาบาลและกินยาสมุนไพรไปด้วย
ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตท่านไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด แล้วไม่สบายก็เข้ารักษาตัวที่ต่างจังหวัด โรงพยาบาลที่ต่างจังหวัด หมอก็มีน้อยเวลาเราไปปรึกษาจะไม่มีเวลาคุยด้วย ทำตัวเหมือนเทวดา เพราะหมอต้องรีบไปเปิดคลินิก วินิจฉัยโรคไม่ละเอียด ผลปรากฏคุณแม่เสียชีวิตด้วยยาที่กินเข้าไปมันน็อค ทั้งๆที่มีสติ เวลาคุยกับแม่ท่านก็ผงกหัวรับทราบหมด ในนาทีวิกฤตหมอใหญ่อยู่คลินิก เศร้าจริงๆครับ อยากนำท่านเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ลูกๆหมดหนทางเพราะอาการท่านหนักแล้ว ท่านคงทำบุญไว้เท่านี้ ขอให้คุณแม่หลับให้สบาย และดวงวิญญาณจงไปสู่สรวงสวรรค์ ผมขอตั้งใจนำสิ่งดีๆที่ได้พบเห็นมาเผยแพร่ให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้ดูแลสุขภาพให้มากที่สุด
เรื่องปากนกกระจอกคุณแม่เคยสอนว่า ให้เอาฟองข้าวสีขาวๆที่เวลาเราหุงข้าว ข้าวจะเดือดและมีฟองสีขาวๆให้เอาฟองข้าวนี่แหละ มาทามุมปากทีเป็นปากนกกระจอก วันละ ๒ ครั้งเช้าเย็นก็จะหาย
คางทูม
ให้ไปเอาเสลดพังพอนตำผสมหล้าขาวเล็กน้อย ทาบริเวณที่เป็นคางทูมวันละ ๒-๓ ครั้ง หรือจะเอาใบพลูที่กินกับหมากอังไฟพอให้อ่อนตัว ทาด้วยน้ำมันพืช แปะที่เป็นคางทูม ขณะที่ยังอุ่นอยู่ ทำหลายๆครั้ง
เนื่องจากแต่ละคนอาจจะมีความพร้อมและวัตถุดิบในการปรุงยาไม่เหมือนกัน แม่บอกว่าใครมีหัวขมิ้นอ้อยก็ใช้ได้กะพอประมาณและเปลือกต้นเพกาอัตราส่วนเท่าๆกัน ตำให้ละเอียดแช่กับเหล้าขาว เติมการบูรนิดหน่อย พอให้ละลาย หลังจากนั้นเอาน้ำยาที่ได้ทาคางทูมวันละ ๔-๕ ครั้งก็หายได้
แก้หลงลืม บำรุงสมอง ทำให้ความจำดี สมองโปร่ง
แก้อาการ หลงลืมและ บำรุงสมอง ทำให้ความจำดี สมองโปร่ง ให้เอาผงกวาวเครือขาวประมาณปลายช้อนชา ผสมกับน้ำนมวัวสดประมาณ ๑ แก้วดื่มทุกวันหลังอาหารวันละครั้งจะทำให้ความจำดี
โรคตาเป็นต้อ
มีผู้สูงอายุหลายคนสอบถามผมเกี่ยวกับเรื่องตาเป็นต้อ ล่าสุดเป็นนายทหารผมจำได้ว่าคุณแม่เคยแนะนำญาติไปทำ ท่านให้เอาดอกมะลิ ๑ กำมือ นำมาตำให้ละเอียดผสมกับพิมเสนแท้ ๒ เม็ด ห่อผ้าขาวบาง คั้นเอาน้ำยาใช้หยอดตาวันละ ๔-๕ ครั้ง
หรือจะใช้ใบข่า ๓ ใบ ใช้ใบเล็กๆ ขมิ้นอ้อย ๑ หัวใหญ่ ผักบุ้งไทย ๑ กำมือ ตัวยาทั้ง ๓ นี้นำมาใส่หม้อดินต้มให้เดือดแล้วยกหม้อลง เปิดฝาใช้ผ้าขาวบางคลุมปากหม้อ ให้ผู้ป่วยก้มลงลืมตารมไอน้ำยาที่ปากหม้อ ทำเช่นนี้วันละครั้ง ติดต่อกัน ๓-๔ วัน ถ้าหม้อเดียวไม่หายให้ปรุงยาต้มใหม่อีกครั้ง
แก้โรคตามองไม่เห็น ฝ้าฝาง ตาต้อกระจก
ใช้ผงกวาวเครือขาว ผสมกับมะขามป้อมและสมอพิเภก อัตราส่วนเท่ากัน บดเป็นผงผสมน้ำผึ้งเป็นกระสายยาปั้นเป็นลูกกลอน กินก่อนอาหารเช้า-เย็น วันละ ๒ เม็ด สายตาจะกลับมาเห็นดีดังเดิม เคล็ดลับคือต้องอาบน้ำวันละ ๓ เวลา และของเปรี้ยวของดอง ห้ามกินเด็ดขาด
---------------------------------------------------------------